วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รสชาติต่างๆของโค้ก



โค้ก




โค้ก ไดเอท




เชอรี่โค้ก




วานิลลาโค้ก (เลิก ผลิตในปี 2005)




โค้ก




ไลม์ โค้ก C2



โค้ก ซีโร่ (โค้กที่ใช้สารให้ความหวานแทน น้ำตาล)




โค้ก แบล็ก (โค้กผสมกาแฟ เลิกผลิตไปเมื่อต้นปี 2008)




โค้ก ออเรจน์




โค้ก แบล็กเชอรี่วานิลลา




โค้ก ซิตร้า (มีขายแค่ญี่ปุ่นและบาง ประเทศในยุโรป)





โค้ก ไลท์ซังโก (มีขายเฉพาะที่ฝรั่งเศษและเบล เยี่ยม)


เรื่อง เล่าและข่าวลือเกี่ยวกับโค้ก





โค้กมีเรื่องเล่าและข่าวลือมากมายกล่าวถึงผลเสียเนื่องจากโค้ก ซึ่งข่าวลือยังมีปรากฏแม้แต่ในเว็บไซต์สภากาชาดไทยเรื่องราวต่างๆ ส่วนมากจะเน้นในแนวขำขันและการนำโค้กไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ปริมาณกรดในโค้กมีมากเพียงพอที่จะทำลายอวัยวะภายในร่างกาย ในความเป็นจริงค่าความเป็นกรดด่าง หรือ pH ของโค้กมีค่า 2.5 ซึ่งใกล้เคียงกัับมะนาว หรือ เลมอน มีค่า pH 2.4 หรือ ส้มมีค่า pH 3.5 หรือแม้แต่ข่าวลือว่าตำรวจสหรัฐอเมริกาใช้โค้กในการล้างเลือดบนถนนกรณีเกิดเหตุรถชน หรือแม้แต่โค้กสามารถละลายฟันในช่องปากในตอนกลางคืน (ถึงแม้ว่ารายการ มิธบัสเตอร์ส ได้มีการทดสอบในการใช้โค้กช่วยในการล้างเลือดที่เปื้อนเสื้อผ้า) ข่าวลือยังมีกล่าวว่าโค้กใช้ในการขจัดคราบเกลือ บริเวณขั้วแบตเตอร์รี่รถยนต์ให้ สะอาดได้ ซึ่งโดยปกติแล้วคราบเกลือสามารถกำจัดได้โดยใช้น้ำอุ่นธรรมดาเช่นเดียวกัน

โค้กยังคงมีใช้ในการกำจัดสนิม โดยกรดฟอสโฟริกในโค้ก เปลี่ยนออกไซด์ของเหล็กให้เป็นฟอสเฟตซึ่งใช้ในการกำจัดสนิมเหล็กได้



Coca-Cola สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ





Coca-Cola สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถือว่าเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับคนทั่วโลก แต่ Coca-Cola ถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะนำเครื่องดื่มน้ำดำชนิดนี้ให้แพร่หลายไปทั่ว โลก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Coca-Cola มีโรงงานตั้งอยู่ 44 ประเทศทั่วโลก ทั้งฝ่ายพันธมิตรและอักษะ

ในปี 1941 โรเบิร์ต วู้ดดรัฟฟ์ สั่งให้ขาย Coca-Cola ให้กับชายในเครื่องแบบทหาร ในราคาขวดละ 5 เซ็นต์ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามที่มีขาย Coca-Cola โดยไม่แบ่งฝ่ายและไม่สนใจว่าบริษัทจะควักกระเป๋าเองเท่าไหร่ และเป็นผลสำเร็จในการคว้าโอกาสในครั้งนี้เมื่อ ศูนย์บัญชาการใหญ่ฝ่ายพันธมิตรที่แอฟริกาเหนือ มีข้อความว่า ขอให้ส่งอุปกรณ์ และเครื่องจักรที่จำเป็นต่อการตั้งโรงงาน Coca-Cola จำนวน 10 โรงและทางกองทัพยังขอให้ส่งไปอีกสามล้านขวด และวัตถุดิบที่เพียงพอต่อการผลิต Coca-Cola ปริมาณนี้เดือนละ 2 ครั้ง

ภายในระยะเวลา 6 เดือนวิศวกรของบริษัทต้องบินไปยังเมืองอัลเจียรส์ เพื่อเปิดโรงงานผลิตและบรรจุ Coca-Cola นับเป็นเมืองแรกที่มีการเปิดโรงงานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่อกี 64 โรงจะก่อตั้งในประเทศต่างๆ โดยส่วนมากโรงงานแต่ละที่จะตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสนามรบทั้งทวีป Europe Asia Pacific ระหว่างสงคราม นายทหารทั้งหมดได้ดื่ม Coca-Cola เป็นจำนวนกว่า 5พันล้านขวด

การมีส่วนร่วมในสงครามนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อบำรุงรักษาขวัญและกำลังใจ แก่ของทหารเท่านั้น เมื่อสงครามสิ้นสุดลง กิจการ Coca-Cola ได้ขยายตัวไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จำนวนของโรงงานเพิ่มขึ้นเป็น2เท่า Coca-Cola ก็กลายเป็นสัญลักษณ์สากลของมิตรภาพ และความสดชื่น


สูตรลึกลับของโค้ก





สูตรลึกลับของโค๊ก

บริษัท ทรัสต์ คอมพานี แห่งรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐฯ เป็นที่เก็บสูตรลับของเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก
ชนิด หนึ่งที่มีชื่อว่า โคคา-โคล่า หรือคนทั่วไปเรียกว่า โค้ก สูตรลับนี้มีผู้ที่สามารถเปิดดูได้เพียงคนเดียวเท่านั้นคือผู้อำนวยการบริ ษัท
ถึงแม้จะมีผู้จัดจำหน่ายอยู่หลายแห่งทั่วโลก แต่ไม่มีสักรายที่ล่วงรู้ส่วนผสมที่แท้จริง เพราะบริษัทจะจัดส่งหัวเชื้อซึ่งเป็น
น้ำเชื่อมและส่วนผสมอื่นๆ ให้ผู้แทนจำหน่ายไปผสมกับน้ำโซดา แม้กระทั่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถล่วงรู้สูตรลับของโคคา-โคล่า ได้

ปี ค.ศ.1983 นักเขียนอเมริกัน วิลเลียม พาวน์สโตน ตีพิมพ์ผลงานที่มีความยากลำบากในการค้นคว้าชื่อว่า Top Secret เขาบอกว่า
ส่วน ผสมหลักของโค้ก บริษัทจะกำหนดเป็นส่วนผสมหมายเลข 1-9 และเรียกว่าเป็นสินค้านั้น มีดังนี้คือ 1.น้ำตาล 2.น้ำตาลไหม้ 3.กาเฟอีน(ไร้กาเฟอีน)
4.กรดฟอสฟอริก 5.สารสกัดจากใบโคคา(สกัดเอาโคเคนออกแล้ว) และสารสกัดจากเมล็ดโคลาปริมาณเล็กน้อย 6.กรดน้ำส้ม และโซเดียมไซเทรต
7X.มะนาว ฝรั่ง ส้ม มะนาว แคสเซีย(cassia คืออบเชยชนิดหนึ่ง) น้ำมันลูกจันทร์เทศ และสารอื่นๆ 8.กลีเซอรีน 9.วานิลลา

การวิเคราะห์สารเคมีทำให้รู้ส่วนผสมบางอย่าง แต่ส่วนที่ค้นพบยากที่สุดคือส่วนที่เป็นหัวน้ำมันหอมระเหยใน สินค้าหมายเลย 7X (ไม่มีคำอธิบายความหมายของ X)
การนำเอาหัว เชื้อเหล่านี้มาผสมกันใช่ว่าจะได้กลิ่นและรสชาติตามสูตรของโคคา-โคล่า เพราะน้ำมันเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นกลิ่นและรสชาติอื่นๆ ได้อีก
การ ที่จะลอกเลียนแบบต้องรู้ส่วนผสมและสัดส่วนที่แท้จริง ซึ่งยากในการวิเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ส่วนผสมก็ยังคงเป็นความลับสุดยอดของโคคา-โคล่า จนถึงทุกวันนี้

เครื่องดื่มที่ติดปากของคนทั่วโลก
ดร.จอห์น เอส เพมเบอร์ตัน เป็นผู้คิดค้นสูตรดั้งเดิมของโคคา-โคล่า เขาเป็นเภสัชกรที่แอตแลนตา จอร์เจีย ในปี ค.ศ.1885
เขานำเอาเครื่องดื่มที่ผสมเหล้าองุ่นแดงมาดัด แปลโดยผสมใบโคคาลงไปด้วย ซึ่งโคคามีสารที่กระตุ้นประสาทที่เรียกว่าโคเคน แต่กลับขายไม่ดี
เขาจึงปรับปรุงสูตรอีกโดยเอาลูกโคลามาแทนเหล้าองุ่นแดง ซึ่งโคลานี้เป็นโคลาพันธุ์แอฟริกา มีสารประตุ้นประสาทที่เรียกว่า กาเฟอีน เข้าได้เติมน้ำตาลและแต่งกลิ่นไม่ให้ขม

สัญลักษณ์โคคา-โคล่า เป็นการออกแบบของหุ้นส่วนที่ชื่อว่า แฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เมื่อปี 1887 เพมเบอร์ตันขายสูตรนี้ให้ วิลลิส อี เวเนเบิล และ
จอร์จ เอส ลอนเดส และอีก 5 เดือนต่อมาก็ขายต่อให้ วูลโฟล์ค วอล์เคอร์ และ เอ็ม ซี โดเซียร์ และต่อมาอีก 1 ปี ก็ขายให้ เอซา จี แคนด์เลอร์
ซึ่งเพ มเบอร์ตันก็ถึงแก่กรรมในปีนั้น แคนด์เลอร์ได้ผสมส่วนผสมนี้กับน้ำโซดา และคิดว่าต้องเป็นเครื่องดื่มที่คนนิยมอย่างมาก
จึงได้เก็บสูตรนี้ไว้ เป็นความลับ แคนด์เลอร์ได้ปรับปรุงสูตรใหม่อีก และรับแฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เข้าเป็นหุ้นส่วน และได้ก่อตั้งบริษัทโคคา-โคล่า
ในปี 1892 จนถึงปี 1903 ก็มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้สูตรของเครื่องดื่มชนิดนี้ และมีสิทธิ์ในการผสมน้ำเชื่อมในห้องลับ เขาได้แกะฉลากส่วนผสมต่างๆ
ออก และชำระเงินด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายบัญชีรู้ว่าซื้อส่วนผสมอะไรมา เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น เขาทั้งสองคนไม่สามารถผสมส่วนผสมต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอีก
เขาจึงกำหนดหมายเลข 1-9 เพื่อใช้เรียกชื่อส่วนผสม ผู้จัดการสาขาจะรู้เพียงสัดส่วนและวิธีผสมเท่านั้น เมื่อปี 1909 รัฐบาลสหรัฐฯ ยื่นฟ้องบริษัทว่า
ใช้ส่วนผสมที่มีโคคาอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะมีโคเคนผสมอยู่ คดียืดเยื้อกว่า 10 ปี แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าในส่วนผสมพบโคเคนอยู่ในสารสกัดโคคาหรือโคลา แม้แต่น้อยนิด
วิลเลียม พาวน์สโตน กล่าวในหนังสือ Top Secret ว่า ในโคคา-โคล่า มีส่วนผสม โคคา หรือ โคลา เพียงนิดเดียว ซึ่งไม่มีผลต่อรสชาติสักเท่าใด


ส่วนผสมของโค้ก





เชื่อว่าทุกคนคงได้เคยดื่ม Coke หรือ Coca-Cola แล้วคงคิดต่อว่ามันทำมาจากอะไรเนี่ยถึงได้รสชาติแบบนี้? Coke หรือ Coca-Cola ทำมาจากต้นCoca และ ต้น Cola นั่นเอง แหละได้ผสมในอัตราส่วนที่เหมาะสมแต่ไม่มีใครทราบว่าใส่เข้าไปเท่าไหร่บ้าง แล้วมันมีส่วนผสมแค่นี้เองจริงหรือเปล่า

ต้น Coca ก็คือต้นที่เค้านำไปสกัดเพื่อทำโคเคนนั่นเอง นำใบมาสกัดเอาสารสกัดออกมา เมื่อยุคแรกๆก็ได้บอกกันว่า Coca-Cola ได้ผสม โคเคนลงไปด้วยจึงทำให้ได้รับความนิยมขนาดนี้ อันนี้จริงเท็จอย่างไรก็คงต้องพิสูจน์กันเองนะครับ :)

ต้น Cola เป็นพืชท้องถิ่นของแอฟริกา ตะวันตก เอาสารสกัดจากเมล็ดของต้น Cola จะได้สารตัวหนึ่งนั่นก็คือ คาเฟอีนนั่นเอง

ส่วนผสมของโค้กถือเป็นความลับของบริษัทเช่นเดียวกับสูตรผสมของ เป๊ปซี่ เคเอฟซี และ แม็คโดนัลด์ ส่วนผสมของโค้กนั้น มีพนักงานในบริษัทโคคาโคล่าเพียงไม่กี่คนที่รู้และได้มีส่วนร่วมในขั้นตอน การผสม โดยทางบริษัทใช้ชื่อส่วนผสมว่า "7X" โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงว่า X หมายถึงอะไร และพนักงานบริษัทจะทำการผสมสูตรต่างๆ ตามหมายเลขของส่วนผสมแทนที่ชื่อของส่วนผสมเพื่อป้องกันสูตรรั่วไหล

ในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 พนักงานบริษัทโค้ก 2 คนและเพื่อนอีก 2 คน โดนจับกุมข้อหาพยายามขโมยสูตรส่วนผสมโค้กและขายให้แก่เป๊ปซี่ในราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ