วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
เรื่อง เล่าและข่าวลือเกี่ยวกับโค้ก

โค้กมีเรื่องเล่าและข่าวลือมากมายกล่าวถึงผลเสียเนื่องจากโค้ก ซึ่งข่าวลือยังมีปรากฏแม้แต่ในเว็บไซต์สภากาชาดไทยเรื่องราวต่างๆ ส่วนมากจะเน้นในแนวขำขันและการนำโค้กไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ปริมาณกรดในโค้กมีมากเพียงพอที่จะทำลายอวัยวะภายในร่างกาย ในความเป็นจริงค่าความเป็นกรดด่าง หรือ pH ของโค้กมีค่า 2.5 ซึ่งใกล้เคียงกัับมะนาว หรือ เลมอน มีค่า pH 2.4 หรือ ส้มมีค่า pH 3.5 หรือแม้แต่ข่าวลือว่าตำรวจสหรัฐอเมริกาใช้โค้กในการล้างเลือดบนถนนกรณีเกิดเหตุรถชน หรือแม้แต่โค้กสามารถละลายฟันในช่องปากในตอนกลางคืน (ถึงแม้ว่ารายการ มิธบัสเตอร์ส ได้มีการทดสอบในการใช้โค้กช่วยในการล้างเลือดที่เปื้อนเสื้อผ้า) ข่าวลือยังมีกล่าวว่าโค้กใช้ในการขจัดคราบเกลือ บริเวณขั้วแบตเตอร์รี่รถยนต์ให้ สะอาดได้ ซึ่งโดยปกติแล้วคราบเกลือสามารถกำจัดได้โดยใช้น้ำอุ่นธรรมดาเช่นเดียวกัน
โค้กยังคงมีใช้ในการกำจัดสนิม โดยกรดฟอสโฟริกในโค้ก เปลี่ยนออกไซด์ของเหล็กให้เป็นฟอสเฟตซึ่งใช้ในการกำจัดสนิมเหล็กได้
Coca-Cola สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ

Coca-Cola สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถือว่าเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับคนทั่วโลก แต่ Coca-Cola ถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะนำเครื่องดื่มน้ำดำชนิดนี้ให้แพร่หลายไปทั่ว โลก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Coca-Cola มีโรงงานตั้งอยู่ 44 ประเทศทั่วโลก ทั้งฝ่ายพันธมิตรและอักษะ
ในปี 1941 โรเบิร์ต วู้ดดรัฟฟ์ สั่งให้ขาย Coca-Cola ให้กับชายในเครื่องแบบทหาร ในราคาขวดละ 5 เซ็นต์ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามที่มีขาย Coca-Cola โดยไม่แบ่งฝ่ายและไม่สนใจว่าบริษัทจะควักกระเป๋าเองเท่าไหร่ และเป็นผลสำเร็จในการคว้าโอกาสในครั้งนี้เมื่อ ศูนย์บัญชาการใหญ่ฝ่ายพันธมิตรที่แอฟริกาเหนือ มีข้อความว่า ขอให้ส่งอุปกรณ์ และเครื่องจักรที่จำเป็นต่อการตั้งโรงงาน Coca-Cola จำนวน 10 โรงและทางกองทัพยังขอให้ส่งไปอีกสามล้านขวด และวัตถุดิบที่เพียงพอต่อการผลิต Coca-Cola ปริมาณนี้เดือนละ 2 ครั้ง
ภายในระยะเวลา 6 เดือนวิศวกรของบริษัทต้องบินไปยังเมืองอัลเจียรส์ เพื่อเปิดโรงงานผลิตและบรรจุ Coca-Cola นับเป็นเมืองแรกที่มีการเปิดโรงงานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนที่อกี 64 โรงจะก่อตั้งในประเทศต่างๆ โดยส่วนมากโรงงานแต่ละที่จะตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสนามรบทั้งทวีป Europe Asia Pacific ระหว่างสงคราม นายทหารทั้งหมดได้ดื่ม Coca-Cola เป็นจำนวนกว่า 5พันล้านขวด
สูตรลึกลับของโค้ก

บริษัท ทรัสต์ คอมพานี แห่งรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐฯ เป็นที่เก็บสูตรลับของเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก
ชนิด หนึ่งที่มีชื่อว่า โคคา-โคล่า หรือคนทั่วไปเรียกว่า โค้ก สูตรลับนี้มีผู้ที่สามารถเปิดดูได้เพียงคนเดียวเท่านั้นคือผู้อำนวยการบริ ษัท
ถึงแม้จะมีผู้จัดจำหน่ายอยู่หลายแห่งทั่วโลก แต่ไม่มีสักรายที่ล่วงรู้ส่วนผสมที่แท้จริง เพราะบริษัทจะจัดส่งหัวเชื้อซึ่งเป็น
น้ำเชื่อมและส่วนผสมอื่นๆ ให้ผู้แทนจำหน่ายไปผสมกับน้ำโซดา แม้กระทั่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถล่วงรู้สูตรลับของโคคา-โคล่า ได้
ปี ค.ศ.1983 นักเขียนอเมริกัน วิลเลียม พาวน์สโตน ตีพิมพ์ผลงานที่มีความยากลำบากในการค้นคว้าชื่อว่า Top Secret เขาบอกว่า
ส่วน ผสมหลักของโค้ก บริษัทจะกำหนดเป็นส่วนผสมหมายเลข 1-9 และเรียกว่าเป็นสินค้านั้น มีดังนี้คือ 1.น้ำตาล 2.น้ำตาลไหม้ 3.กาเฟอีน(ไร้กาเฟอีน)
4.กรดฟอสฟอริก 5.สารสกัดจากใบโคคา(สกัดเอาโคเคนออกแล้ว) และสารสกัดจากเมล็ดโคลาปริมาณเล็กน้อย 6.กรดน้ำส้ม และโซเดียมไซเทรต
7X.มะนาว ฝรั่ง ส้ม มะนาว แคสเซีย(cassia คืออบเชยชนิดหนึ่ง) น้ำมันลูกจันทร์เทศ และสารอื่นๆ 8.กลีเซอรีน 9.วานิลลา
การวิเคราะห์สารเคมีทำให้รู้ส่วนผสมบางอย่าง แต่ส่วนที่ค้นพบยากที่สุดคือส่วนที่เป็นหัวน้ำมันหอมระเหยใน สินค้าหมายเลย 7X (ไม่มีคำอธิบายความหมายของ X)
การนำเอาหัว เชื้อเหล่านี้มาผสมกันใช่ว่าจะได้กลิ่นและรสชาติตามสูตรของโคคา-โคล่า เพราะน้ำมันเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นกลิ่นและรสชาติอื่นๆ ได้อีก
การ ที่จะลอกเลียนแบบต้องรู้ส่วนผสมและสัดส่วนที่แท้จริง ซึ่งยากในการวิเคราะห์ ด้วยเหตุนี้ส่วนผสมก็ยังคงเป็นความลับสุดยอดของโคคา-โคล่า จนถึงทุกวันนี้
เครื่องดื่มที่ติดปากของคนทั่วโลก
ดร.จอห์น เอส เพมเบอร์ตัน เป็นผู้คิดค้นสูตรดั้งเดิมของโคคา-โคล่า เขาเป็นเภสัชกรที่แอตแลนตา จอร์เจีย ในปี ค.ศ.1885
เขานำเอาเครื่องดื่มที่ผสมเหล้าองุ่นแดงมาดัด แปลโดยผสมใบโคคาลงไปด้วย ซึ่งโคคามีสารที่กระตุ้นประสาทที่เรียกว่าโคเคน แต่กลับขายไม่ดี
เขาจึงปรับปรุงสูตรอีกโดยเอาลูกโคลามาแทนเหล้าองุ่นแดง ซึ่งโคลานี้เป็นโคลาพันธุ์แอฟริกา มีสารประตุ้นประสาทที่เรียกว่า กาเฟอีน เข้าได้เติมน้ำตาลและแต่งกลิ่นไม่ให้ขม
สัญลักษณ์โคคา-โคล่า เป็นการออกแบบของหุ้นส่วนที่ชื่อว่า แฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เมื่อปี 1887 เพมเบอร์ตันขายสูตรนี้ให้ วิลลิส อี เวเนเบิล และ
จอร์จ เอส ลอนเดส และอีก 5 เดือนต่อมาก็ขายต่อให้ วูลโฟล์ค วอล์เคอร์ และ เอ็ม ซี โดเซียร์ และต่อมาอีก 1 ปี ก็ขายให้ เอซา จี แคนด์เลอร์
ซึ่งเพ มเบอร์ตันก็ถึงแก่กรรมในปีนั้น แคนด์เลอร์ได้ผสมส่วนผสมนี้กับน้ำโซดา และคิดว่าต้องเป็นเครื่องดื่มที่คนนิยมอย่างมาก
จึงได้เก็บสูตรนี้ไว้ เป็นความลับ แคนด์เลอร์ได้ปรับปรุงสูตรใหม่อีก และรับแฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เข้าเป็นหุ้นส่วน และได้ก่อตั้งบริษัทโคคา-โคล่า
ในปี 1892 จนถึงปี 1903 ก็มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้สูตรของเครื่องดื่มชนิดนี้ และมีสิทธิ์ในการผสมน้ำเชื่อมในห้องลับ เขาได้แกะฉลากส่วนผสมต่างๆ
ออก และชำระเงินด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายบัญชีรู้ว่าซื้อส่วนผสมอะไรมา เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น เขาทั้งสองคนไม่สามารถผสมส่วนผสมต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอีก
เขาจึงกำหนดหมายเลข 1-9 เพื่อใช้เรียกชื่อส่วนผสม ผู้จัดการสาขาจะรู้เพียงสัดส่วนและวิธีผสมเท่านั้น เมื่อปี 1909 รัฐบาลสหรัฐฯ ยื่นฟ้องบริษัทว่า
ใช้ส่วนผสมที่มีโคคาอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะมีโคเคนผสมอยู่ คดียืดเยื้อกว่า 10 ปี แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าในส่วนผสมพบโคเคนอยู่ในสารสกัดโคคาหรือโคลา แม้แต่น้อยนิด
วิลเลียม พาวน์สโตน กล่าวในหนังสือ Top Secret ว่า ในโคคา-โคล่า มีส่วนผสม โคคา หรือ โคลา เพียงนิดเดียว ซึ่งไม่มีผลต่อรสชาติสักเท่าใด
ส่วนผสมของโค้ก
เชื่อว่าทุกคนคงได้เคยดื่ม Coke หรือ Coca-Cola แล้วคงคิดต่อว่ามันทำมาจากอะไรเนี่ยถึงได้รสชาติแบบนี้? Coke หรือ Coca-Cola ทำมาจากต้นCoca และ ต้น Cola นั่นเอง แหละได้ผสมในอัตราส่วนที่เหมาะสมแต่ไม่มีใครทราบว่าใส่เข้าไปเท่าไหร่บ้าง แล้วมันมีส่วนผสมแค่นี้เองจริงหรือเปล่า
ต้น Coca ก็คือต้นที่เค้านำไปสกัดเพื่อทำโคเคนนั่นเอง นำใบมาสกัดเอาสารสกัดออกมา เมื่อยุคแรกๆก็ได้บอกกันว่า Coca-Cola ได้ผสม โคเคนลงไปด้วยจึงทำให้ได้รับความนิยมขนาดนี้ อันนี้จริงเท็จอย่างไรก็คงต้องพิสูจน์กันเองนะครับ :)
ต้น Cola เป็นพืชท้องถิ่นของแอฟริกา ตะวันตก เอาสารสกัดจากเมล็ดของต้น Cola จะได้สารตัวหนึ่งนั่นก็คือ คาเฟอีนนั่นเอง
ส่วนผสมของโค้กถือเป็นความลับของบริษัทเช่นเดียวกับสูตรผสมของ เป๊ปซี่ เคเอฟซี และ แม็คโดนัลด์ ส่วนผสมของโค้กนั้น มีพนักงานในบริษัทโคคาโคล่าเพียงไม่กี่คนที่รู้และได้มีส่วนร่วมในขั้นตอน การผสม โดยทางบริษัทใช้ชื่อส่วนผสมว่า "7X" โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงว่า X หมายถึงอะไร และพนักงานบริษัทจะทำการผสมสูตรต่างๆ ตามหมายเลขของส่วนผสมแทนที่ชื่อของส่วนผสมเพื่อป้องกันสูตรรั่วไหล
ในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 พนักงานบริษัทโค้ก 2 คนและเพื่อนอีก 2 คน โดนจับกุมข้อหาพยายามขโมยสูตรส่วนผสมโค้กและขายให้แก่เป๊ปซี่ในราคา 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ